หัดเยอรมัน/เหือด (German measles/Rubella) - เด็กสาสุข ออนไลน์
Headlines News :
Home » » หัดเยอรมัน/เหือด (German measles/Rubella)

หัดเยอรมัน/เหือด (German measles/Rubella)

Written By เด็กสาสุข on วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555 | 08:02

หัดเยอรมัน/เหือด (German measles/Rubella)



                หัดเยอรมัน(หัด 3 วัน เหือด ก็เรียก) เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พบอัตราป่วยสูงในช่วงอายุ 15-24 ปี มีอาการไข้และออกผื่นคล้ายหัด แต่มีความรุนแรงและโรคแทรกซ้อนน้อยกว่าหัด ส่วนใหญ่บ้านเรามีชื่อเรียกอีอย่างหนึ่งว่า เหือด
                โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรง ถ้าเป็นกับเดกหรือผู้ใหญ่ทั่วไป มักหายได้เองโดยไม่มีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง
ที่สำคัญ คือ ถ้าเกิดในหญิงตั้งครรภ์ระยะ 3 เดือนแรก เชื้ออาจแพร่กระจายเข้าทารกในครรภ์ ทำให้ทารกพิการ แท้ง หรือตายในครรภ์ได้
โรคนี้พบได้ประปรายทั้งปี อาจติดต่อกันในหมู่คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยตามบ้าน โรงเรียน ที่ทำงาน พบระบาดได้น้อยกว่าหัดและอีสุดอีใส

สาเหตุ
            เกิดจากเชื้อหัดเยอรมัน ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า รูเบลลา (rubella) เชื้อจะอยู่ในน้ำมูก นำลายและเสมหะ ของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอ จามรด หรือโดยสัมผัสมือ สิ่งของ เครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อ เช่นเดียวกับไข้หวัด
                ระยะฟักตัว 14-21 วัน มีผื่นขึ้นโดยไม่มีอาการไม่สบายอย่างอื่นที่เด่นชัดมาก่อน บางคนอาจมีน้ำมูกหรือถ่ายเหลวเล็กน้อยก่อนผื่นขึ้น
                ในเด็กโตและผู้ใหญ่ เริ่มแรกอาจมีอาการไม่สบายเพียงเล็กน้อย (เช่น ไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ  ปวดตา เจ็บคอ เบื่ออาหาร คลื่นไส้) หรืออาจมีอาการเหมือนไข้หวัด (มีไข้ น้ำมูก ไอ ปวดเมื่อย) ซึ่งอาการจะเป็นอยู่ 1-5 วันก่อนผื่นขึ้นและทุเลาเมื่อมีผื่นขึ้นแล้ว
                 ผื่นมีลักษณะเป็นผื่นราบสีชมพู ขนาดเล็กๆ มักไม่แผ่รวมเป็นแผ่นแบบหัด โดยเริ่มขึ้นที่หน้า (ชายผม รอบปาก ใบหู) แล้วกระจายลงมาตามคอ แขน ลำตัว และขา อย่างรวดเร็วภายใน 2-3 วัน ผื่นที่ขึ้นในแต่ละแห่งมักจะจางหายภายใน 24 ชั่วโมง โดยเรียงลำดับจากหน้าลงมาที่ขา เมื่อผื่นที่หน้าเริ่มจางหาย ผื่นที่ลำตัวบางครั้งอาจแผ่รวมกันเป็นแผ่นใหญ่ขึ้น ผื่นจะจางหายไปทั้งหมดภายในเวลาประมาณ 3 วัน (ฝรั่งจึงเรียกว่า หัด 3 วัน หรือ three-day measles) โดยไม่ทิ้งรอยผื่นสีคล้ำหรือหนังลอกแบบหัด ยกเว้นในรายที่เป็นผื่นมากอายลอกแบบขุยละเอียด โดยทั่วไปมักไม่มีอาการคัน นอกจากในผู้ใหญ่บางรายอาจมีอาการคันเล็กน้อยได้
                บางรายอาจเป็นหัดเยอรมันไม่มีผื่นขึ้นก็ได้ แต่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้



สิ่งตรวจพบ
            ผื่นราบสีชมพู ขนาดเล็ก กระจายอยู่ตามหน้า ลำตัว แขน ขา
                อาจมีไข้ 37.5-38.5◦ซ. (บางครั้งอาจไม่มีไข้) หรือตาแดงเล็กน้อย
                ระยะก่อนผื่นขึ้น หรือวันแรกที่ผื่นขึ้น อาจตรวจพบจุดแดงขนาดเท่าปลายเข็มที่เพดานอ่อน มักเป็นอยู่เพียง 24 ชั่วโมง
                ที่สำคัญซึ่งบ่งชี้ถึงลักษณะของโรคนี้ คือ มีต่อมน้ำเหลืองโต (คลำได้เป็นเม็ดตะปุมตะปำ) ตรงหลังหู หลังคอ ท้ายทอย และข้างคอทั้ง 2 ข้าง ซึ่งอาจโตอยู่นานหลายสัปดาห์

ภาวะแทรกซ้อน
            1.ที่สำคัญ คือ ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อหัดเยอรมันแพร่จากแม่ไปสู่ลูกในครรภ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะไตรมาตรแรก อาจจะทำให้เกิดการแท้งหรือการตายคลอด (stillbirth หรือการคลอดทารกที่ตายในครรภ์) ส่วนทารกที่รอดชีวิต จะเกิดความผิดปกติหรือความพิการแต่กำเนิด ซึ่งเรียกว่า โรคหัดเยอรมันแต่กำเนิด (congenial rubella) ซึ่งมักจะมีความปกติหลายอย่างร่วมกัน ที่พบบ่อยได้แก่ ทารกเจริญเติบโตช้า (น้ำหนักแรกเกิดน้อย) ต้อกระจก (พบได้ 1 ใน 3 ของทารกที่เป็นหัดเยอรมันแต่กำเนิด อาจเป็นข้างเดียวหรือ 2 ข้าง) จอประสาทตาพิการ(retinopathy) นัยน์ตาเล็ก(microphthalmia) หูหนวก (มักเป็น 2 ข้าง) หัวใจพิการ (ได้แก่ patent ductus arteriosus) ปัญญาอ่อน ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ตับโต ม้ามโต นอกจากนี้ ยังมีความผิดปกติที่อาจพบได้แต่ไม่บ่อย เช่น ต้อหิน ศีรษะเล็กผิดปกติ ผนังหัวใจรั่ว (ได้แก่ ASD, VSD) ซีด ดีซ่าน ตับอักเสบ สมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็นต้น ซึ่งบางอย่างอาจทำให้ทารกเสียชีวิตหลังคลอดได้
                โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ขึ้นกับอายุครรภ์ขณะติดเชื้อหัดเยอรมัน มีรายงานว่า ถ้าแม่เป็นหัดเยอรมัน 2 เดือนแรก พบทารกผิดปกติถึงร้อยละ 60-85 ถ้าแม่เป็นหัดเยอรมันขณะครรภ์เดือนที่ 3 พบทารกผิดปกติประมาณ 1ใน 3
                2.ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ในคนทั่วไป ที่เป็นหัดเยอรมันมีดังนี้
                •ข้ออักเสบ 1 ข้อ หรือหลายข้อ มักพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ซึ่งมักจะหายได้เอง
                •สมองอักเสบ พบได้ประมาณ 1 ใน 6000 พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก มักเกิดหลังผื่นขึ้น 2-4 วัน (บางรายอาจเกิดพร้อมผื่นขึ้น) มีอัตราตายรอยละ 20-50
                •อื่นๆ เช่น ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ(อาจทำให้มีภาวะเลือดออก) ประสาทตาอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ ตับอักเสบ เยื่อบุหัวใจหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็นต้น


การรักษา
            1.สำหรับหัดเยอรมันที่พบในเด็กและผู้ใหญ่ทั่วไป (ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์) ให้การรักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ พาราเซตามอล(ย1.2)ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน
(ย1.1)  เพราะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม (65.1) ถ้าข้ออักเสบให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตรีรอยด์(ย2) ถ้าคันทายาแก่ผดผื่นประมาณ 1 สัปดาห์
                2.ถ้าสงสัยมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น สมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ ภาวะตกเลือด เป็นต้น ควรส่งโรงพยาบาลด่วน
                ในการยืนยันการวินิจฉัยโรคนี้ อาจกระทำโดยการทดสอบทางน้ำเหลือง เพื่อตรวจหา
ระดับสารภูมิต้านทานต่อเชื้อหัดเยอรมัน หรือการตรวจเพาะเชื้อจากจมูกและคอหอย
                3.ถ้าพบหญิงตังครรภ์ที่มีอาการไข้และมีผื่นขึ้นหรือสงสัยเป็นหัดเยอรมัน หรืออยู่ใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรคหัดเยอรมัน ควรแนะนำไปโรงพยาบาล แพทย์มักจะเจาะเลือดตรวจ เพื่อทำการทดสอบทางน้ำเหลือง ซึ่งอาจต้องตรวจอย่างน้อย 2 ครั้ง
                ถ้าพบว่าเป็นหัดเยอรมัน สำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์ในระยะ 3 เดือนแรก แพทย์จะแนะนำให้ยุติการตั้งครรภ์ ส่วนครรภ์ในระยะเดือนที่ 7-9 ทารกอาจมีโอกาสพิการได้น้อยกว่าระยะ 3 เดือนแรก แพทย์จะตัดสินใจเป็นรายๆ ว่าจำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์หรือไม่
                ในรายที่ไม่ต้องการยุติการตั้งครรภ์ แพทย์อาจพิจารณาฉีดอิมมูโนโกรบูลินแก่ผู้ป่วย วิธีนี้แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อของทารกได้ แต่ก็ช่วยลดความรุนแรงที่เกิดกับทารกได้

ข้อแนะนำ
            1.ควรแยกผู้ป่วย อย่าให้คลุกคลีกับผู้อื่นจนกว่าพ้นระยะติดต่อ (ระยะติดต่อตังแต่ 5 วันก่อนผื่นขึ้นจนกระทั้ง 6 วันหลังจากผื่นเริ่มขึ้น)
                2.ควรอธิบายให้ประชาชนทั่วไปทราบว่า โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงที่เกิดกับคนทั่วไป ความรุนแรงมีน้อยกว่าหัด แต่ที่สร้างปัญหา คือ ส่วนที่เกิดกับหญิงตั้งครรภ์อ่อน (ภายในระยะ 3 เดือน) ที่อาจทำให้ทารกในครรภ์เกิดมาพิการ
                3.โรคนี้เป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันไปจนตลอดชีวิตจะไม่เป็นซ้ำอีก
                4.หญิงที่เป็นหัดเยอรมันให้คุมกำเนิดไว้ 3 เดือนเพื่อความแน่ใจว่าทารกจะปลอดภัย
                5.ในระยะที่มีการระบาดของโรค สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์แต่งงานแล้ว ซึ่งยังไม่เคยฉีดวัคซีนหรือไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน ควรคุมกำเนิดไว้ก่อนจนพ้นระยะระบาด ระหว่างนี้ควรฉีดวัคซีนป้องกันและคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน


การป้องกัน
            1.โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน แนะนำให้ฉีดวัคซีนรวมหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) แก่เด็กทุกคน โดยฉีดเข็มแรกเมื่ออายุ 9-12 เดือน และฉีดอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี
                กลุ่มเด็กหญิงวัยรุ่น และกลุ่มหญิงวัยเจริญพันธุ์ถ้ายังไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อน ควรฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมันเดี่ยวๆ หรือวัคซีนรวม(MMR)ให้ 1 เข็ม
                ถ้าเป็นหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่แต่งงานแล้ว แนะนำให้ฉีดวัคซีนในช่วงที่มีประจำเดือน และคุมกำเนิดอย่างน้อย 3 เดือน แต่ถ้าหากบังเอิญเกิดตั้งครรภ์ภายใน 3 เดือน หลังฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน ก็ไม่จำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์ เพราะไม่มีการรายงานว่าทารกได้รับอันตรายจาการฉีดวัคซีนชนิดนี้แก่มารดา
                2.ในช่วงที่มีการระบาดหรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นโรคนี้ แนะนำให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่

อ้างอิง

สุรเกียรติ อาชานุภาพ. ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2 :350 โรคกับการดูแล
                            รักษาและป้องกัน.พิมพ์ครั้งที่ 4: โลจิสติก พับลิสซิ่ง,2551
Share this article :

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 
Support : Creating Website | Johny Template | Mas Template
Copyright © 2011. เด็กสาสุข ออนไลน์ - All Rights Reserved
Template Modify by Creating Website
Proudly powered by Blogger